มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงสถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๐ ตั้งอยู่ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์และโปรดให้เรียกว่า “มหาธาตุวิทยาลัย” เปิดสอนครั้งแรก เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๓๒ต่อมาวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๙ ทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” โดยมีพระราชประสงค์ให้ใช้ “เป็นสถานศึกษาพระไตรปิฏกและวิชาการชั้นสูงสำหรับพระภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์”
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ พระพิมลธรรม (ช้อย ฐฺานทตฺตมหาเถร) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ได้จัดประชุมพระเถรานุเถระฝ่ายมหานิกาย จำนวน ๕๗ รูป เพื่อดำเนินการจัดการศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาการชั้นสูง ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเปิดสอนระดับปริญญาตรีครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ และดำเนินการจัดการศึกษามาโดยลำดับ
พ.ศ. ๒๕๑๒ มหาเถรสมาคมออกคำสั่งเรื่อง “การศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ พุทธศักราช ๒๕๑๒” และเรื่อง สภาการศึกษาของคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๕๑๒” ส่งผลให้มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยมีสถานะเป็นสถาบันการศึกษาของคณะสงฆ์ไทยโดยสมบูรณ์
๒๕๒๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติกำหนดวิทยาฐานะผู้สำเร็จวิชาการทางพระพุทธศาสนา พ.ศ. ๒๕๒๗ ระบุไว้ในมาตรา ๔ (๓) ว่า “ให้ผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนาตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีวิทยาฐานะชั้นปริญญาตรี เรียกว่า “พุทธศาสตรบัณฑิต” ใช้อักษรย่อว่า “พธ.บ.”
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขึ้น ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๑๔ ตอนที่ ๕๑ ก ลงวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ กำหนดมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ มีฐานะเป็นนิติบุคคล กำหนดสถานภาพและวัตถุประสงค์ (ตามมาตรา ๖) ไว้ “ให้เป็นสถานศึกษาและวิจัย มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษา วิจัย ส่งเสริมและให้บริการทางพระพุทธศาสนาแก่พระภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์ รวมทั้งการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม”
ผลจากความเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ทำให้มหาวิทยาลัยมีความเป็นอิสระในการบริหารงานการจัดการศึกษา สามารถพัฒนาโครงสร้างและระบบการบริหารจัดการองค์กรให้เหมาะสมสอดคล้องกับภารกิจของมหาวิทยาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครราชสีมา
ปีพุทธศักราช ๒๕๑๓ เจ้าประคุณสมเด็จพระธีรญาณมุนี (ธีร์ ปุณฺณกเถร, ป.ธ.๙) เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก เจ้าอาวาสวัดจักวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร ได้ปรารภว่า “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น จังหวัดนครราชสีมา มีความเหมาะสมต่อการจัดตั้งวิทยาลัยสงฆ์มากที่สุด เพราะเป็นเมืองเอก เป็นศูนย์กลางการศึกษามาแต่เดิม” จากคำปรารภของเจ้าประคุณสมเด็จฯ พระเถรานุเถระในจังหวัดนครราชสีมาและกรุงเทพมหานคร ผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา ได้ประชุมและตั้งคณะกรรมการจัดตั้งวิทยาลัยสงฆ์นครราชสีมา โดยมีพระศรีกิตติโสภณ (เกียรติ สุกิตฺติ,ป.ธ.๗) ปัจจุบันดำรงสมณศักดิ์ที่ พระราชธรรมมุนี เป็นประธาน ได้ประชุมและเตรียมงานด้านต่างๆ ตั้งแต่ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๓ เป็นต้นมาและที่ประชุมมีมติให้คณะสงฆ์ภาค ๑๑ เป็นผู้ดำเนินงาน
ต่อมาปีพุทธศักราช ๒๕๒๙ พระเถระและผู้ทรงคุณวุฒิพร้อมทั้งพระสังฆาธิการในจังหวัดนครราชสีมาและคณะสงฆ์ภาค ๑๑ มีพระพรหมคุณาภรณ์ (พุ่ม กิตฺติสารเถร, ป.ธ.๗) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมวิสุทธาจารย์ เจ้าคณะภาค ๑๑ เจ้าอาวาสวัดพระนารายณ์มหาราช วรวิหาร และ พระธรรมวรนายก (โอภาส นิรุตฺติเมธี, ป.ธ. ๖) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสีหราชสมาจารมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ได้ประชุมและมีมติให้จัดตั้งวิทยาลัยสงฆ์นครราชสีมาขึ้น (ลงวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๙) เพื่อเป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาสำหรับพระภิกษุสามเณร และเพื่อให้จัดการศึกษามีความสมบูรณ์แห่งวิทยฐานะตามกฎหมาย พระพรหมคุณาภรณ์ (พุ่ม กิตฺติสารเถร, ป.ธ. ๗) ประธานสภาวิทยาลัยสงฆ์นครราชสีมา ได้ทำหนังสือลงวันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ไปยังสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อขออนุมัติรับวิทยาลัยสงฆ์นครราชสีมา เป็นวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ต่อมามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย ครั้งที่ ๕/๒๕๒๙ ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้วิทยาลัยสงฆ์นครราชสีมาเป็นวิทยาเขตนครราชสีมา (ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ) และมีมติให้ดำเนินการจัดการศึกษาอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ เป็นต้นมา
ด้านการจัดการศึกษา ได้เปิดสอนหลักระดับปริญญาตรี ๕ สาขาวิชาดังนี้
๑. สาขาวิชาพระพุทธศาสนา
๒. สาขาวิชาการสอนภาษาไทย
๓. สาขาวิชาภาษาอังกฤษ
๔. สาขาวิชารัฐศาสตร์
๕. สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ
ระดับประกาศนียบัตร ๒ สาขา คือ
๑. ประกาศนียบัตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์
๒. ประกาศนียบัตรการสอนศีลธรรมในโรงเรียน
ระดับปริญญาโท ๒ สาขา คือ
๑. สาขาวิชพระพุทธศาสนา
๒. สาขาวิชารัฐศาสตร์
รองอธิการบดีวิทยาเขตนครราชสีมา
๑. พระราชสีมาภรณ์ (โอภาส นิรุตฺติเมธี) พ.ศ. ๒๕๓๐ – ๒๕๔๐
(อธิการบดีวิทยาลัยสงฆ์นครราชสีมา เทียบเท่ารองอธิการบดี
ปัจจุบัน พระธรรมวรนายก ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา)
๒. พระศรีธรรมาภรณ์ (ดำรง ทิฏฺฐธมฺโม) พ.ศ. ๒๕๔๐ – ๒๕๕๓
(ปัจจุบัน พระราชวิมลโมลี เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา)
๓. พระสุธีวรญาณ (รศ.ดร.ณรงค์ จิตฺตโสภโณ) พ.ศ. ๒๕๕๓ – ๒๕๕๗
(ปัจจุบัน ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๑)
๔. พระราชสีมาภรณ์ (วันชัย กนฺตจารี) พ.ศ. ๒๕๕๗ – ปัจจุบัน
(ปัจจุบัน รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา)
ปรัชญาของมหาวิทยาลัย
“ศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนา บูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ พัฒนาจิตใจและสังคม”
ปรัชญาของวิทยาเขตนครราชสีมา
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุเส.
ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่เทวดาและมนุษย์
ปณิธานของมหาวิทยาลัย
ศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูงสำหรับพระภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์
วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัย
มุ่งพัฒนามหาวิทยาลัยเป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนาระดับชาติโดยการจัดการศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้บูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ให้นำไปสู่การพัฒนาจิตใจและสังคมอย่างยั่งยืน
วิสัยทัศน์ของวิทยาเขตนครราชสีมา
พัฒนามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครราชสีมา ให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนา ผลิตบัณฑิตให้มีความเป็นเลิศในพระไตรปิฎก รอบรู้วิชาการชั้นสูง มีปฏิปทาน่าเลื่อมใสเพื่อสนองงานพระพุทธศาสนาและพัฒนาสังคม
พันธกิจของมหาวิทยาลัย
๑. ผลิตบัณฑิต
๒. ส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าวิจัยให้ก้าวไปสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ
ด้านพระพุทธศาสนา
๓. ให้บริการวิชาการในรูปแบบที่หลากหลาย
๔. ส่งเสริมการศึกษาผสมผสานทางวัฒนธรรมและการมีส่วนร่วมในประคมโลก
ด้านพระพุทธศาสนา
เอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
: บริการวิชาการด้านพระพุทธศาสนา
อัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
: ประยุกต์พระพุทธศาสนาเพื่อพัฒนาจิตใจและสังคม
อัตลักษณ์ของบัณฑิต
: มีศรัทธาอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา